ผู้ปกครองควรพาลูกไปพบทันตแพทย์เด็ก ตั้งแต่อายุประมาณ 1 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงที่ฟันน้ำนมขึ้นแล้ว เพื่อทันตแพทย์จะได้แนะนำผู้ปกครองถึงวิธีดูแลสุขภาพช่องปาก การทำความสะอาดฟัน และเพื่อเป็นการสร้างความคุ้นเคยและประสบการณ์ที่ดีแก่เด็กในการไปทำฟัน
การพบทันตแพทย์ ผู้ปกครองควรเสริมสร้างทัศนคติที่ดีในการทำฟันให้กับเด็ก อย่าใช้เรื่องการทำฟันมาขู่เด็ก เช่น ไม่แปรงฟันหรือถ้าปวดฟันจะให้หมอถอนฟัน
ช่วงที่เด็กจะได้รับการทำฟันจริงๆ อาจเป็นช่วงอายุประมาณ 2 ขวบ เพราะเป็นช่วงที่ฟันน้ำนมขึ้นเกือบครบแล้ว และเด็กโตพอที่จะสื่อสารกันเข้าใจได้ หมอฟันเด็กจะเริ่มทำงานง่ายๆใช้เวลาสั้นๆ สร้างความรู้สึกที่ดีแก่เด็กต่อการทำฟัน ซึ่งจะมีผลต่อการดูแลรักษาฟันเด็กต่อไปจนโต
ไม่ควรพาเด็กไปพบทันตแพทย์เมื่อมีปัญหาแล้ว เพราะถ้าเด็กเจ็บปวดตั้งแต่ครั้งแรกมักจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือ เด็กจะมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการทำฟัน ทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง ซึ่งจะมีผลเสียตามมาอีกมากมาย
วิธีดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน สำหรับเจ้าตัวน้อย
- เด็กเล็กๆคุณแม่ควรใช้ผ้าสะอาดเช็ดฟันให้ลูก รวมถึงหัดให้เด็กแปรงฟันโดยคุณแม่ช่วยแปรงฟันให้ด้วยตั้งแต่ฟันน้ำนมเริ่มขึ้น
- ไม่ควรให้ลูกดูดนมขวดจนหลับไปโดยไม่ได้ดูดน้ำตาม เด็กอายุ 6 เดือน ขึ้นไปไม่จำเป็นต้องทานนมมื้อดึกอีกแล้ว ควรเริ่มฝึกเด็กดื่มนมจากถ้วย เมื่อเด็กอายุ 12-14 เดือน ควรเลิกดูดนมจากขวด
- ไม่ควรให้นมที่มีรสหวาน เครื่องดื่มที่มีรสหวานหรือน้ำผลไม้ บ่อยครั้งเกินไป
- การใช้สารฟลูออไรด์ มีหลายรูปแบบ เช่น ชนิดรับประทาน อาจอยู่ในแบบวิตามินน้ำผสมฟลูออไรด์ เม็ดอมฟลูออไรด์ ชนิดเคลือบผิวฟันภายนอก เช่น น้ำยาอมบ้วนปากผสมฟลูออไรด์ ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ การเคลือบฟลูออไรด์โดยทันตแพทย์ (ในการเสริมฟลูออไรด์ควรขอคำแนะนำจากทันตแพทย์)
- การเคลือบหลุมร่องฟัน เนื่องจากฟันกรามเด็กมักจะมีหลุมร่องลึก เป็นที่สะสมของคราบอาหาร ทำให้เด็กฟันผุได้ง่าย ทันตแพทย์จึงมักจะแนะนำให้ทำการเคลือบร่องฟันให้เด็ก เพื่อปิดหลุมและร่องลึกเหล่านั้น ซึ่งเป็นการป้องกันฟันผุที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่ง
- ควรพาลูกไปตรวจฟันอย่างสม่ำเสมอทุก 6 เดือน
ไม่ควรหลอกลูกว่าจะพาไปเที่ยว แล้วพาไปพบหมอฟัน
ในการพาลูกๆไปพบหมอฟันเด็ก คุณพ่อคุณแม่ควรจะบอกความจริงแก่ลูกในแง่บวก ว่าจะพาไปพบคุณหมอเพื่อที่จะให้คุณหมอทำฟันให้ดูสวย ดูหล่อ หรือบอกว่าจะพาไปพบคุณหมอเพื่อที่จะดูแลฟันและสอนวิธีแปรงฟัน
การหลอกลูกจะทำให้ลูกเกิดความไม่ไว้วางใจในผู้ปกครองและคุณหมอด้วย เพราะว่าเด็กจะคิดว่าถูกหลอกมาทุกครั้งเลย ซึ่งจะขึ้นอยู่กับท่าทีของคุณพ่อคุณแม่เองด้วยว่า ถ้าเห็นว่าการทำฟันเป็นเรื่องธรรมดาปกติ ไม่เป็นเรื่องต้องอาศัยความกล้าหาญ และทำเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ลูกก็จะเรียนรู้ว่านี่เป็นสิ่งธรรมดาในชีวิตที่เขาจะต้องพบเจอเท่านั้นเอง
ควรให้ลูกเปลี่ยนไปใช้ยาสีฟันผู้ใหญ่ตอนอายุเท่าไร
การจะให้ลูกเปลี่ยนจากการใช้ยาสีฟันสำหรับเด็กเป็นยาสีฟันทั่วไปคงขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ไม่ถึงกับต้องกำหนดอะไรชัดเจน ยาสีฟันสำหรับเด็กมักจะทำสีสันสวยงามและกลิ่นรสจูงใจให้เด็กชอบและอยากแปรงฟันมากขึ้น มีฟลูออไรด์เป็นส่วนผสมด้วยเพื่อป้องกันฟันผุ
ส่วนยาสีฟันสำหรับผู้ใหญ่ อาจมีรสซ่ามากเกินไป อาจระคายเคืองเนื้อเยื่อบุช่องปากของเด็กได้ โดยปกติแนะนำให้เด็กมีอายุ 6-10 ขวบขึ้นไป จึงค่อยเริ่มเปลี่ยน และใช้ยาสีฟันเพียงเล็กน้อย แต่ถึงจะใช้ยาสีฟันสำหรับเด็กไปเรื่อยๆก็ไม่มีผลเสียอะไร เพราะอย่างไรก็ตามการแปรงฟันให้สม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
จริงหรือไม่ว่าหากแปรงฟันมากไปฟันจะบางลง?
คงไม่ถึงขนาดนั้นค่ะ ถ้าให้เด็กแปรงฟันได้ทุกครั้งหลังรับประทานอาหารได้ยิ่งดี แต่ถ้าทำไม่ได้ เช่นไปโรงเรียนอาจจะให้บ้วนน้ำ หรือฝึกเขาว่าหลังรับประทานอาหารหวานๆ หรือหลังรับประทานอาหารควรบ้วนปาก ถึงแม้จะไม่สามารถจะแปรงฟันได้ การบ้วนปากหลังทานอาหาร ก็ยังช่วยลดความสกปรกในส่วนที่จะทำให้เกิดฟันผุได้ลงไปส่วนหนึ่ง
การดื่มน้ำหลังอาหารช่วยทำความสะอาดได้บ้างหรือไม่
การดื่มน้ำช่วยทำความสะอาดได้เฉพาะเศษอาหารชิ้นใหญ่ที่เคี้ยวไม่ละเอียด และสามารถเจือจางคราบนมที่หลงเหลืออยู่ในปากเด็กออกได้บางส่วน แต่ไม่สามารถขจัดแผ่นคราบจุลินทรีย์ที่เหนียวเป็นแผ่นบางติดอยู่ที่ผิวเคลือบฟัน ซึ่งต้องใช้การแปรงฟันจึงจะทำความสะอาดได้ค่ะ
ตรวจสอบบทความโดย
ทพญ.ขนิษฐา สุรางค์ศรีรัฐ